ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

น.ส.อัมพร บุรารักษ์ สาวงามจากอำเภอพาน เชียงราย สู่ นางสาวไทย ปีพ.ศ.2493





อัมพร บุรารักษ์ นางสาวไทย ปีพ..2493 ''อัมพร''  เป็นบุตรสาวคนโตในจำนวน 7คนของนายบุญส่ง ข้าราชการอำเภอพาน   ได้รับการทาบทามจากผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายส่งเข้าประกวดในนามของจังหวัดเชียงราย ..อัมพรเป็นนางสาวไทยคนที่ 9 ของประเทศไทย และเป็นสาวเหนือคนแรกที่ได้ครองตำแหน่งนางสาวไทย เธอได้รับตำแหน่งขณะอายุ 18 ปี 


เมื่อรัฐมนตรีมหาดไทย  พระยา รามราชภักดี  ขึ้นมาตรวจราชการที่จังหวัดเชียงราย  ได้แวะไปเยี่ยมที่บ้านของบิดา ..อัมพร  ที่ อำเภอพาน  สาเหตุจากได้ถามเรื่องการส่งคนเข้าประกวดนางสาวไทยจากผู้ว่าราชการจังหวัด  พันตำรวจโทขุนวีรเดชกำแหง (ชม จารุสิทธิ์) ผู้ว่าฯ  ก็แนะนำท่านให้มาดูตัว หลังจากนั้น พระยา รามราชภักดี แจ้ง กับผู้ว่าฯ  ว่าให้เลือก นส.อัมพร เป็นตัวแทน จังหวัดเชียงราย  เพื่อส่งไปประกวดที่กรุงเทพฯ  
ขณะที่การประกวดรอบสุดท้าย ก่อนมีการประกาศชื่อผู้ชนะเลิศนางสาวไทย ประชาชนเรือนหมื่น ต่างปรบมือเปล่งเสียง"อัมพร เชียงราย" เกรียวกราวสนั่นหวันไหว เมื่อสิ้นการประกาศผลได้รับเกียรติจากท่านผู้หญิงละเอียด  พิบูลสงคราม  เป็นผู้สวมมงกุฎให้ อัมพร บุรารักษ์ นางสาวไทย ปีพ..2493



หนังสือพิมพ์จำนวนหลายสิบฉบับต่างลงข่าว "อัมพร บุรารักษ์ "แห่งจังหวัดเชียงราย ได้รับตำแหน่งนางสาวไทย นำชื่อเสียงมาสู่จังหวัดเชียงรายเป็นอันมาก เป็นเรื่องราวที่น่าบันทึกไว้ 










 อัมพร บุรารักษ์ ได้สมรสกับร้อยตำรวจตรี วิศิษฐ์ พัฒนานนท์ มีบุตรธิดารวม 4 คน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

บ้านพระยาภักดีราชกิจ (ตื๋อ ภักดี) จากโรงเรียนดรุณศึกษา ถึงแม่กกวิลล่า

ในปีพ . ศ .2428  ทางราชการได้ประกาศรวมเอาเมืองเชียงแสน เชียงราย เมือง ลำปาง เมืองฝาง เวียงป่าเป้า เมืองพะเยา เมืองเชียงคำ และเมืองเชียงของ เข้าเป็น “ จังหวัดพายัพภาคเหนือ ” อันเป็นส่วนหนึ่ง ของมณฑลพายัพ   จนกระทั่งปี พ . ศ . 2433 ได้รวมหัวเมืองต่าง ๆ ตั้งเป็นเมืองจัตวา เรียกว่า “ เมืองเชียงราย ” โดย เกณฑ์ผู้คนจากเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง มาตั้งภูมิลำเนาในเขตเมืองเชียงราย   พระยาภักดีราชกิจ( ตื๋อ  ภักดี)  มี ภริยาชื่อ ยอดเรือน เป็นชาวอำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ หลังจากเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ปลดปล่อยทาส ปี พ . ศ .2434 นายตื๋อจึงได้อพยพครอบครัวมาตั้งรกรากอยู่ที่ บ้านป่าอ้อ ตำบลนางแล อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย   ต่อมา เจ้าหลวงเมืองไชย ผู้ครองนครเชียงรายในขณะนั้น ได้ชักชวนนายตื๋อ เข้ามาช่วยราชการในตัวเมือง   โดยให้เลือกทำเลตั้งบ้านเรือนได้ตามใจชอบ นายตื๋อจึงเลือกพื้นที่ทิศเหนือตรงข้ามวัดพระสิงห์ และเจ้าหลวงได้เกณฑ์ราษฎรตัดไม้สัก มาปลูกบ้านให้ และได้ช่วยราชการในเชียงราย       ...

จอมดาบทะลุฟ้า หนัง3 มิติ เรื่องแรกฉายในเชียงราย (พ.ศ.2520)

ในปี พ.ศ.2520 เชียงราย เฟื่องฟูไปด้วยโรงภาพยนตร์ ถึง 5 โรงแยกออกเป็นโซนต่างๆ ตามมุมเมือง ย่านถนนธนาลัย มีโรงหนัง สุริวงศ์ ,ราชา (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นจิระนันท์รามา) ย่านขนส่ง บขส.มีโรงหนังเชียงรายรามา 1 และ เชียงรายรามา 2 ย่าน 5 แยกพ่อขุนฯ มี โรงหนังเมืองทอง  แต่ละโรงจะเป็นโรงสายหนังแต่ละสายที่ป้อนภาพยนตร์มาตามเครือข่ายสายของตน (ก่อนหน้านี้มีโรงหนังชื่อสหดารา ปิดกิจการไปก่อนหน้านี้)  สุริวงค์ เครือโรงหนังจากเชียงใหม่(สุริวงศ์,สุริยง,แสงตะวัน) จะฉายภาพยนต์จีนกำลังภายในจาก ชอร์บราเดอร์ ฮ่องกง เป็นหลัก ภาพยนตร์ในยุคนั้นจะต้องภาคสดเสียงภาษาไทย โดยที่สุริวงค์จะมีนักภาคที่มีมุกตลกฮา ที่ชื่อ "รุจิศักดิ์ และนักภาคหญิงชื่อ นาตยา ให้เสียงภาษาไทย ดาราดังในยุคนั้นมี ตี้หลุง,เดวิดเจียง,ฟู่เซิง ฯลฯ  ราชา สถานที่ตั้งอยู่ห่างกันไม่มากนัก (ปัจจุบันเป็น ธนาคารทหารไทย สาขาเชียงราย) จะฉายภาพยนต์ไทย จากค่าย สันติสุชาภาพยนตร์(ที่โด่งดังมากคือภาพยนตร์ที่สร้างจากบทละครวิทยุ เรื่อง ชุมแพ นำแสดงโดย สมบัติ เมทะนี รับบท เพิก ชุมแพ และภาพยนตร์ต่างประเทศบ้างเป็นบางโอกาส เช่น รถถังประจั...

สมศาสตร์ รัตนสัค ส.ส เชียงราย 7 สมัย ผู้เป็นรัฐมนตรีที่สั้นที่สุด (14 วัน)

ร้อยโท นายแพทย์สมศาสตร์ รัตนสัค เกิดเมื่อวันที่  3 กุมภาพันธ์   พ.ศ. 2474   ภูมิลำเนาอำเภอพาน จังหวัดเชียงราย จบมัธยมศึกษาโรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย เชียงใหม่  สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี แพทยศาสตรบัณฑิต ร้อยโท นายแพทย์สมศาสตร์ รัตนสัค เป็นบุตรคนที่ 9 ของ ขุนรัตน์ ราชธน(สมบูรณ์ รัตนสัค) และนางแสงหล้า รัตนสัค(เมืองคำ) และเป็นน้องชายของนางบัวคลี่ บุณโยทยาน (มารดาของ ดร.บุญสนอง บุณโยทยาน เลขาธิการพรรคสังคมนิยม) ร้อยโท นายแพทย์สมศาสตร์ รัตนสัคได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงรายครั้งแรก ในการเลือกตั้ง  พ.ศ. 2512  และได้รับเลือกเรื่อยมา จนถึง พ.ศ. 2535  รวม 7 สมัย คณะรัฐมนตรีคณะนี้สิ้นสุดลง เนื่องจากคณะรัฐมนตรีชุดนี้ได้แถลงนโยบายเพื่อขอความ ไว้วางใจจากสภาผู้แทนราษฎร ในวันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๑๘ สภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติให้ความไว้วางใจใน คณะรัฐมนตรีคณะนี้ ด้วยคะแนนเสียงน้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกที่มาประชุม คณะรัฐมนตรีคณะนี้ จึงเป็นอันต้องพ้นจากตำแหน่งตามความในมาตรา ๑๘๗ (๒) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักรา...